บทที่ 8 กังฟู (Kung Fu) “วิทยายุทธจีน”

บทที่ 8 กังฟู (Kung Fu) “วิทยายุทธจีน”
หนังสือ : ศาสตร์แห่งไทฟูโด (Taifudo Academy)

แม้ผมจะชื่นชอบ และสนุกกับการฝึกมวย (วิทยายุทธจีน หรือ กังฟู) เป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมเบื่อหน่ายการอยู่เมืองหลวงคือภาวะรถติด เดินทางไปไหนใช้เวลานาน และมลพิษจากควันท่อไอเสียที่ต้องทนสูดดมทุกวัน

ตอนนั้น ผมได้อ่านวารสารเล่มขนาดใหญ่ฉบับหนึ่ง ผมชื้อมาเพราะสะดุดตากับข้อความ “เปิดหอ วิทยายุทธ กังฟู เส้าหลิน” และภาพหน้าปกที่เป็นภาพพระจีนตั้งท่ามวยกังฟูดูสวยงาม เมื่อผมอ่านรายละเอียดใน วารสารนั้นมีประชาสัมพันธ์เปิดรับให้ผู้ที่คลั่งไคล้ และสนใจในศิลปะการต่อสู้วัดเส้าหลินแบบจีนโบราณได้มีโอกาสมาศึกษากัน เริ่มเปิดรับเรื่อยมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ.2528 (ค.ศ.1985) มาแล้ว รวมค่าวิชาเรียนค่าอาหาร และที่พักเสร็จสรรพ ผมยิ่งดูภาพการฝึกวิทยายุทธบนลานวัดเส้าหลิน และภาพบรรยากาศยอดขุนเขาที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ยิ่งทำให้ผมแน่ใจว่าผมอยากเรียนมาทางด้านฝึกวิทยายุทธมากกว่าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาแบบที่ผมฝืนทนเรียนอยู่

ศิลปะการต่อสู้ และ กังฟูเส้าหลิน ตามตำนานจีนโบราณ

ตามตำนานจีนโบราณศิลปะการต่อสู้และกังฟูเส้าหลิน มีต้นกำเนิดจากการที่หลวงจีนใช้วิชากังฟู ฝึกฝนร่างกายและออกกำลังกายเพื่อเป็นการขจัดความเมื่อยล้าจากการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นเวลานาน ต่อมาได้มีการพัฒนา จนกลายเป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดเส้าหลิน ชาวจีนเชื่อกันว่าผู้ที่คิดค้นสุดยอดวิชากังฟู คือตั๊กม้อ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามบันทึกบน “ถังไท่จงชื่อเส้าหลินซื่อจู่เจี้ยวเปย” แท่นหินสลักคำสอนหลักของวัดเส้าหลิน ระบุว่าหลวงจีน 13 องค์ ได้เข้าช่วยเหลือจักรพรรดิถังไท่จง หรือหลี่ซื่อหมินแห่งราชวงศ์ถังในระหว่างปี พ.ศ.1161-พ.ศ.1450 ฝ่าวงล้อมในระหว่างการสู้รบกับทหารของราชวงศ์สุยตอนปลายจนได้รับชัยชนะ ต่อมาถังไท่จงได้ทรงแต่งตั้งให้เฟิงถันจง หนึ่งในหลวงจีนที่ร่วมในการสู้รบให้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพ พร้อมกับพระราชทานแท่นปักธงคู่และสิงโตหิน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอารามหน้าวัดเส้าหลิน จนกระทั่งถึงปัจจุบันรวมทั้งได้ทรงอนุญาตให้หลวงจีนเข้าร่วมฝึกแบบทหารร่วมกับกองกำลังทหารในราชสำนัก รวมทั้งให้หลวงจีนสามารถฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และสามารถฉันเนื้อสัตว์ได้ จากการสนับสนุนในด้านต่างๆ จากทางราชสำนักทำให้วัดเส้าหลินได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ ในสมัยซ่งหรือซ้อง

ในปี พ.ศ.1503 – พ.ศ.1822

วิทยายุทธจีน หรือวิชา กังฟูเส้าหลิน ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด จนถึงสมัยราชวงศ์ชิงใน ปี พ.ศ.2159-พ.ศ.2454 และในปี พ.ศ.2270 หลังการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิหย่งเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิงได้ประมาณ 5 ปี จากเหตุผลทางด้านการเมือง ราชสำนักได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการลดบทบาทของวัดเส้าหลินลง แม้ว่าหลวงจีนจะถูกห้ามไม่ให้ฝึกกังฟู แต่ยังคงมีการลักลอบแอบฝึกกังฟูกันอย่างลับๆ ทั้งในบริเวณวัดและตามสถานที่ต่างๆ ทำให้วิชากังฟูเส้าหลินไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อประเทศจีนทำการเปิดประเทศ รัฐบาลจึงมีนโยบายเริ่มฟื้นฟูการฝึกวิทยายุทธจีนขึ้น ส่งเสริมให้คนจีนและชาวต่างชาติเดินทางมาเพื่อศึกษาวิทยายุทธกังฟูที่วัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีน และในต่างประเทศ วัด เส้าหลิน ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟู เส้าหลิน เป็นอย่างมาก ถือเป็นแหล่งวิชาการต่อสู้ และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน หนังกังฟูของจีนได้เข้าสู่ตลาดทั่วโลก และได้แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของกังฟูจีน จนได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกตลอดมา

คำว่า “กังฟู” ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Kung Fu” ซึ่งในภาษาจีนก็หมายถึงวิทยายุทธที่มีความเป็นมาอันยาวนานถึงพันกว่าปี และวิธีออกกำลังกายประเภทต่างๆ ที่สามารถทำให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งได้รวมเพลงมวยและการใช้อุปกรณ์กังฟูพื้นฐานต่างๆ ตามสถิติจากผู้เชี่ยวชาญ เพลงมวยจีนมีกว่าร้อยชนิดและมีอุปกรณ์การเล่นกังฟูที่มีลักษณะเป็นทรงยาว 9 ชนิด และทรงสั้นอีก 9 ชนิด ซึ่งก็คือ “อุปกรณ์ 18 อย่าง” ที่คนจีนพูดถึงบ่อยๆ ซึ่งรวมถึงมีด ปืน ดาบ และไม้เป็นต้นทั้งหมด 18 ชนิดด้วยกัน เพลงมวยและอุปกรณ์แต่ละชนิดในกังฟูจีนต่างก็มีวิธี และลีลาท่าทางการเล่นที่แตกต่างกันโดยมีทฤษฎี และเทคนิคการเล่นที่ลึกซึ้งมาก และมีประวัติยาวนาน

กังฟูจีน มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากกีฬาธรรมดาๆ ทั่วไป นักกีฬาที่เล่นกีฬาเหล่านี้เมื่ออายุถึงวัย 30 ปีเศษ ก็ต้องลาจากเวทีกีฬาเนื่องจากสุขภาพร่างกายสู้ไม่ไหว ยิ่งหลังจากย่างเข้าสู่วัยกลางคนเข้าไปด้วยแล้วส่วนมากมักจะได้รับผลกระทบจากการเล่นกีฬาซึ่งหักโหมเกินไปในสมัยเด็กหรือเยาวชน จนทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บโดยไม่รู้สึกตัว แต่สำหรับกังฟูจีนเป็นกังฟูภายในและกังฟูภายนอก ดังคำที่มักพูดกันว่า “ภายนอกจะช่วยฝึกร่างกาย และผิวพรรณ ส่วนภายในจะฝึกจิตใจ และพลังงานให้แจ่มใสแข็งแรงยิ่งขึ้น” นอกจากสามารถฝึกสุขภาพให้แข็งแรงสมองว่องไวแล้ว ยังสามารถบำรุงสุขภาพทำให้อายุยืน เสริมให้ปอดและอวัยวะต่างๆ แข็งแรงขึ้นทำให้หลอดลมใหญ่ และเส้นเลือดไหลเวียนคล่องขึ้นด้วย

ขณะเดียวกันกังฟูจีนยังเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันทางวัฒนธรรมของชนชาติจีน จิตใจและอุปนิสัยของชนชาติจีนอย่างลึกซึ้ง ประกอบด้วยรูปแบบหลากหลายชนิด และยังพร้อมการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพื่อให้เกิดเป็นศิลปะที่สมบูรณ์ในสายตาของชาวต่างประเทศ กังฟูจีนเป็นสัญลักษณ์ของจีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความน่าพิศวงแต่ก็โรแมนติกด้วย

บางคนอาจจะคิดในใจว่ากังฟู แสดงให้เห็นว่าจีนเป็นชนชาติที่ชอบใช้กำลังอะไรนิดอะไรหน่อยก็ใช้มือใช้เท้าเป็นเครื่องแก้ปัญหาจริงๆ แล้วกังฟูจีนเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน และความมีสัมมาคารวะของคนจีนมากกว่า กังฟูจีนส่วนใหญ่จะฝึกกันภายในวัดที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลึก โดยผู้ฝึกจะต้องฝึกความอดทนต่อความยากลำบาก และขัดเกลาอารมณ์ของตนเสียก่อน ต่อเมื่อผู้ฝึกสามารถคงความสงบเยือกเย็นจากจิตใจจนสามารถถ่ายทอดไปสู่การเคลื่อนไหวร่างกายได้แล้ว จุดประสงค์ของการฝึกกังฟูก็เพื่อป้องกันตัว ไม่ใช่จู่โจมหรือทำร้ายผู้อื่น ฝึกเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อนำวิชากังฟูไปกดขี่ขมเหงผู้อื่น เป็นการดับความเหิมเกริมในตน หาใช่เอาความเหิมเกริมของตนไปใช้กับคนอื่นอย่างที่เข้าใจกันไม่ การพัฒนากังฟูจีนก่อให้เกิดจิตวิญญาณของจอมยุทธผู้ทรงคุณธรรมในหมู่คนจีน ครั้งนี้ผมตัดสินใจโทรหาแม่ขอไปเรียนมวยกังฟูที่วัด เส้าหลิน แทนการเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย แม้ผมจะอ้อนวอนอ้างเหตุผลใดๆ ก็ตาม แน่นอนว่าคำตอบคือไม่อนุญาต แม่ผมไม่สนับสนุนผมในเรื่องการฝึกการต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมาตั้งแต่แรก สมัยเด็กแม้ผมจะโดนรังแกก็ตาม แต่ถ้ามีเรื่องชกต่อยเกิดขึ้น ผมก็จะโดนแม่ทำโทษซ้ำอีก

จนเมื่อช่วงใกล้เรียนจบปี 1 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผอิญผมได้รับโบรชัวร์ประชาสัมพันธ์รับสมัครนักศึกษาใหม่ ของมหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ ภาพเขียวชอุ่มจากมวลต้นไม้ ในโบรชัวร์ภายในมหาวิทยาลัยพายัพ เย้ายวนให้ผมซึ่งเบื่อหน่ายกับมลพิษฝุ่นควันในเมืองหลวง อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเรียนที่นั่นยิ่งนัก ผมโทรไปปรึกษาแม่เรื่องขอย้ายไปเรียนคณะบริหารธุรกิจสาขา วิชาการจัดการโรงแรม และการท่องเที่ยวที่มหาวิทยาลัยพายัพ ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่น้องสาวผมเองที่ย้ายจากหาดใหญ่ ไปเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนดาราวิทยาลัยที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อสามปีที่แล้ว ปีนี้้น้องสาวผมก็สามารถสอบเข้าเรียนต่อคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้พอดี จึงเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นที่แม่จะอนุญาตให้ผมย้ายที่เรียน เพื่อจะได้ไปเรียนในระดับอุดมศึกษาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยกันทั้งพี่ทั้งน้องเลย

ในปี พ.ศ.2531

ผมจึงย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ เป็นเด็กซิ่วในภาษาที่เขาใช้เรียกกันเมื่อผมย้ายมาเรียนที่นี่ ผมจึงไม่ได้ฝึกมวยต่างๆ กับครูเหมือนตอนสมัยที่เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว แต่ผมก็จัดเวลาฝึกซ้อมเองอย่างมีวินัยในทุกวิชาที่ผมเรียนมา วิดพื้น ฝึกกำลังรวมถึงฝึกท่าทางการออกมวย ตามอย่างในภาพยนตร์ทุกเรื่องของ บรูซ ลี ดารานักบู๊ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการฝึกมวยของผม การได้ฝึกมวยทำให้ผมสดชื่นมีพลังแคล่วคล่องว่องไว มีสมาธิจดจ่อและคลายเหงาได้อย่างดีด้วย

สาวๆ ที่เรียนคณะบริหารธุรกิจสาขาวิชาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวค่อนข้างหน้าตา และบุคลิกดีโดยเฉพาะน้องๆ ปี 1 ด้วยแล้วเป็นที่สนอกสนใจของบรรดารุ่นพี่เสมอ และในวันสอบปลายภาคเทอมแรก ผมมีเรื่องชกต่อยกับพวกรุ่นพี่ปี 6 (รุ่นพี่ที่เรียนไม่จบภายใน 4 ปี ปกติ) ที่ไม่พอใจหาว่าผมชอบมองหน้าพวกเขาเวลาไปนั่งเฝ้าดูสาวๆ ในห้องเรียนผม ซึ่งในตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนุกกับการเรียนอยู่แล้ว ผมมักมองออกไปทางประตูเป็นระยะๆ เป็นปกติเพื่อฆ่าเวลา ยิ่งเวลามีกลุ่มคนมาอยู่ตรงบริเวณประตูหน้าห้องเรียนก็อาจเป็นไปได้ที่จะคิดว่าผมมองพวกเขาบ่อยๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่ตรงบันไดทางเดินขึ้นลงของอาคารเรียนเมื่อรุ่นพี่ทั้ง 3 คน เดินมาเจอผมพอดี รุ่นพี่คนหนึ่งพูดใส่ผมว่า “มีปัญหาอะไรมั้ยทำไมชอบมองหน้าว่ะ” พลางเดินรี่เข้ามาเพื่อต่อยหน้าผม ผมจึงยกขาถีบตรงไปที่ท้องทีนึง จนแกกระเด็นพลาดตกบันไดไปหลายขั้น ก่อนที่แกจะคว้าราวบันไดไว้ได้ทันไม่กลิ้งลงไปถึงขั้นสุดท้าย จังหวะนั้นรุ่นพี่อีกคนเข้ามาทางด้านหลังแล้ว ล็อกแขนทั้งสองข้างผมไว้ได้ เปิดโอกาสให้รุ่นพี่อีกคนรีบง้างหมัดชกผมเข้าที่ด้านข้างของใบหน้าไปก่อนหนึ่งที รุ่นพี่คนแรกที่ผมถีบไปนั้นเห็นผมโดนเพื่อนแกต่อยแล้ว ขณะที่ผมยังโดนเพื่อนแกล็อกแขนผมอยู่ แกรีบตั้งหลักแล้วพุ่งเพื่อจะเข้ามาต่อยผมคืนบ้าง ผมก็ยกขาถีบท่าเดิมไปที่ท้องแกซ้ำอีกทีอย่างจังจนแกตกบันได และคว้าราวบันได้ในแบบเดิมอีก รุ่นพี่คนที่ต่อยหน้าผมได้รีบต่อยผมซ้ำที่เดิมเป็นครั้งที่สอง ครู่เดียวมีเพื่อนผมเข้ามาห้ามและเจรจาให้เรื่องยุติสถานการณ์คลี่คลายลงเพราะช่วงบ่ายเป็นเวลาสอบอีกครั้ง ก่อนแยกย้าย ผมหันไปพูดกับรุ่นพี่ที่ต่อยผมว่า “มึงต่อยกู 2 ที กูไม่เคลียร์นะ”

เย็นวันนั้นหลังจากสอบเสร็จผมฝากกระเป๋าไว้กับเพื่อน และบอกให้เพื่อนๆ กลับบ้านกันไปก่อนไม่ต้องตามมาด้วย อาจเป็นความฝังใจสมัยเรียนมัธยม ที่ผมเคยโดนรุมทำร้าย 20 ต่อ 1 ตอนนั้นแม้จะมีเพื่อนผมอยู่ด้วยนับสิบคนแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย ผมจึงบอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะลุยเองคนเดียวสบายใจกว่า เพราะถ้ามีเพื่อนแต่เพื่อนไม่ช่วยก็เจ็บใจอยู่ดี ผมเดินไปยังกลุ่มรุ่นพี่เหล่านั้นที่จับกลุ่มทั้งยืน และนั่งคุยกันอยู่ราว 8 คน รุ่นพี่ที่ต่อยหน้าผมยืนเอามือเท้าโต๊ะอยู่ ผมเดินเข้าไปยืนด้านหลังใช้มือสะกิดไหล่พร้อมพูดทันทีว่า “ที่มึงต่อยกู 2 ที กูขอคืนนะ” จังหวะที่แกหันหน้ามาดู ผมก็งัดหมัดเสยเข้าที่หน้าแกอย่างจัง แม้ในใจคิดไว้แล้วว่าจะต่อยหมัดคว่ำลงตามอีกหมัด แต่เพียงหมัดแรกเลือดที่พุ่งจากแผลที่แตก และฉีกตรงเนื้อที่ริมฝีปากกึ่งจมูกก็ทะลักเต็มมือแก ทุกคนถอยกรูด “ใครจะเล่นต่อ ก็เข้ามาเลย” ผมพูดพร้อมตั้งท่ากำหมัดย่อตัวเตรียมรับมือกับกลุ่มรุ่นพี่ที่คิดจะช่วยเพื่อนของเขา ผ่านไปครู่นึงก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ผมอาสาพารุ่นพี่คนนั้นไปล้างเลือด แกบ่นพึมพำว่าเสื้อเปื้อนเลือดแบบนี้โดนแม่ด่าแน่ๆ ผมได้ฟังแล้วนึกถึงแม่เหมือนกันก็เข้าใจดี พลางถอดเสื้อผมให้แกใส่กลับบ้านแทน และนำเสื้อแกกลับมาซักให้ที่บ้าน

วันรุ่งขึ้น มีคนมาสะกิดหลังผมตอนนั่งทานข้าวกลางวัน ผมสังเกตเห็นเพื่อนที่นั่งตรงข้ามกับผมมีสีหน้าผิดปกติผมกำช้อนและส้อมในมือแน่น ไม่หันหน้าไปเพราะคิดว่าต้องเป็นกลุ่มรุ่นพี่กลุ่มเดิมอีกแน่ “กูมาขอเอาคืน ตอนนี้เลย” รุ่นพี่พูด “ตอนนี้ไม่ได้เดี๋ยวมีสอบอีก รอสอบเสร็จก่อน เจอกันตอนสี่โมงเย็นนะ” ผมพูดโดยที่ไม่หันหน้าไปแต่อย่างใด

สี่โมงสิบห้านาทีแล้ว แต่ยังไม่มีใครมาตามนัดเพื่อนผมบอกให้กลับบ้านเถอะผมชนะแล้วไม่มีใครกล้ามา ผมบอกว่าใจเย็นๆ พวกนั้นมาแน่นอน อีกครู่เดียวก็มีรุ่นพี่ และเพื่อนเดินกันมาสองคน ผมบอกให้เพื่อนกลับบ้านไปก่อนเหมือนเคย รุ่นพี่คนเดิมชวนให้ผมไปต่อยกันที่ห้องน้ำชาย พอผมเดินเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ ก็หันไปเห็นพวกรุ่นพี่ที่ตามมาสมทบกันอีกนับสิบคนยืนปิดทางเข้าออกห้องน้ำทั้งสองฝั่ง ผมเริ่มตัวต่อตัวกับรุ่นพี่คู่กรณี แกออกหมัดเท้ามาไม่เป็นกระบวน ผมฉากหลบหลีกรอรับอยู่ครู่นึง จนเกิดลื่นเสียหลักเองนิดหน่อยเพราะก้าวถอยหลังพลาดตรงพื้นต่างระดับในห้องน้ำ พวกที่รออยู่ด้านนอกเห็นผมเสียจังหวะนั้นก็ทำท่ากรูเข้ามาหวังจะรุม ผมหันไปยกมือห้ามแล้วบอกว่า “เฮ้ย!ใจเย็นๆ ถ้ากูไม่หมดแรงเสียก่อน ใครต่ออีกก็ได้ ได้หมด” ทุกคนจึงชะงักไม่ได้เข้ามา ปล่อยให้ผมกับรุ่นพี่ต่อยกันต่อ จนถึงจังหวะที่ผมเตะออกไป พลันรองเท้ามวยจีนแบบสวมหลุดจากเท้าข้างนึงลอยข้ามเข้าไปในห้องส้วมห้องหนึ่ง ผมขอเข้าไปเก็บพลางคิดในใจว่าคงต้องจบเกมล่ะ มัวแต่รอรับเสียเวลา และเมื่อออกมายืนประจันหน้าอีกครั้งผมจึงตั้งท่าแล้วเข้าพุ่งหมัดตรงชกไปที่ปากบวมเจ่อโดนแผลเดิมอีกครั้ง เลือดทะลักออกมาอีกแล้ว “เฮ้ย!พอแล้วๆ มึงเป็นมวยเหรอว่ะ” รุ่นพี่พูดพลางยกมือปิดตรงแผลเดิมที่มีเลือดกำลังไหลอยู่

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมก็ได้รับบาดเจ็บจากตอนต่อยคืน ในท่ากำหมัดต่อยงัดขึ้นในหมัดแรก ตอนชกกระดูกสันหมัดตรงบริเวณนิ้วกลาง ดันไปโดนฟันซี่ด้านหน้าของรุ่นพี่เจาะเข้าไปอย่างจัง ทำให้ผมมีอาการเจ็บเมื่อต้องกำหมัดให้แน่น และไม่สามารถวิดพื้นแบบกำหมัดได้เลยเป็นเดือนๆ ผมคิดถึงหมอจีนแต่ก็ไม่รู้จะไปหาได้ที่ไหน ผมเริ่มอยากรักษาอย่างจริงจัง ผมพูดเปรยๆ กับญาติคนนึงเพื่อให้แนะนำหมอจีนในเชียงใหม่ให้ ญาติผมหันไปถามเพื่อนแกว่าเป็นคนที่นี่พอจะรู้จักหมอจีนแนะนำให้บ้างไหม “มีๆ เป็นศิษย์พี่ที่เรียนมวยจีนมาด้วยกัน ชื่อหมอน้อย เดี๋ยวบอกที่อยู่ให้”

ณ บ้านพักหลังสถานีวิทยุ หมอน้อยนั่งนวดรักษาคนอยู่ภายในบ้าน ผมแนะนำตัวและรอรับการรักษาโดยการพอกยา ไม่นานอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ หมอน้อยมีชื่อเสียงทางด้านรักษากระดูก เส้นเอ็นแบบแผนจีนโบราณ ทั้งยังเป็นครูสอนมวยกังฟูอยู่ในเชียงใหม่มานานแล้ว

“นายชอบฝึกมวยเหรอ” หมอน้อยถามผม “ครับ” ผมตอบ “อยากฝึกกังฟูมั้ย” หมอน้อยถามต่อ “ได้ครับ ผมต้องทำไงบ้าง” ผมถาม “ถ้าอยากฝึกกังฟูให้นายกลับไปแล้วโกนผมให้หัวล้านมาเลยนะแล้วผมจะฝึกกังฟูให้” หมอน้อยเหมือนกำลังทดสอบอะไรบางอย่าง วันรุ่งขึ้นผมไปโกนผมหัวล้าน และเข้าไปหาหมอน้อยในค่ำวันนั้นเลย แกคงพอใจ และเริ่มให้ผมฝึกมวยกังฟูกับแกได้โดยแกให้ผมเรียกแกว่า “พี่น้อย” แทนคำว่าหมอน้อยหรืออาจารย์น้อย

อาการบาดเจ็บนำพามาให้ผมได้พบหมอรักษาแบบแผนจีนโบราณที่กลายมาเป็นอาจารย์สอนกังฟูให้ผมในครั้งนี้นับเป็นการถูกกำหนดโดยโชคชะตามาแล้ว คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เส้นทางการฝึกวิทยายุทธกังฟูของผมเริ่มขึ้นแล้ว

บทความและข่าวสารอื่นๆ

ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
ไอคิโด (Aikido) คืออะไร?
"ไอกิโด" เขียนคำ "คิ" ในแบบตัวอักษรดั้งเดิม
ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
มวยไชยา (Muay Chaiya)
มวยไชยา เป็นศิลปะมวยไทยประจำถิ่นอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อเสียงมากสมัยรัชกาลที่ 5 – ...
ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
มวยไทย (Muay thai)
มวยไทย เป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศไทย มีความโดดเด่นด้านเทคนิคการกอดคอต่อสู้ ซึ่งเป็นการใช้ทั้งกายและ...
ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
คาราเต้ (Karate) ศิลปะผสมผสานเสริมร่างกายผนึกจิตใจ
คาราเต้ (ญี่ปุ่น: 空手; โรมาจิ: karate; ทับศัพท์: คะระเตะ) หรือ คาราเต้โด (ญี่ปุ่น: 空手道; โรมาจิ: karat...
ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) คืออะไร? 
ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน หรือ Mixed Martial Arts (MMA) เป็นกีฬาการต่อสู้ที่มีความเคลื่อนไหวและน่าสนใ...
ไทฟูโด (Taifudo Academy) โรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยหัตถยุทธ
ยูโด (Judo) คืออะไร?
ยูโด (ญี่ปุ่น: 柔道; โรมาจิ: jūdō จูโด) เป็นกีฬาและศิลปะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีต้นกำเนิ...
Before you continue to use Taifudo Academy
We use required cookies for site navigation, purchasing, improving your browsing experience to:
  • Provide you with services described on the Sites, general administrative and performance functions, and support services;
  • Operate the Sites and verify your identity when you sign in to any of our Sites;
  • Inform you about company news and give updates on our services;
  • Carry out technical analysis to determine how to improve the Sites and services we provide;
  • Track outages and protect against spam and fraud.
If you choose to “Accept all,” we will also use cookies and data to:
  • Improve site performance;
  • Deliver and measure the effectiveness of ads;
  • Show personalized content and ads, depending on your settings.
You can always change your browser settings and other ways to reject cookies. To learn more, please visit www.allaboutcookies.org.