*เว็บไซต์กำลังปรับปรุง*

บทที่ 17 มวยโคราชหมัดหนัก

บทที่ 17 มวยโคราชหมัดหนัก
taifudo book17 (Web V)

ผมมีอาการปวดหลังเรื้อรังที่เกิดอุบัติเหตุขี่มอเตอร์ไซค์ล้มหลังฟาดพื้นเมื่อปี พ.ศ.2532 ผมรู้สึกปวดเกือบตลอดเวลาทั้งตอนนอน นั่งหรือเดิน ซึ่งหมอบอกกับผมว่าเป็นอาการปวดจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบแต่ผ่านมาหลายปีก็ไม่มีทีท่าว่าอาการปวดจะบรรเทาลง นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

การใช้ชีวิตประจำวันของผมที่ผ่านมาดูเหมือนยังเล่นมวยได้ปกติ แต่ในความเป็นจริงผมต้องโดนฉีดยาแก้ปวดเป็นระยะๆ ทานยาแก้ปวดเช้าเย็นเพื่อคุมอาการปวดเรื้อรังนี้ไว้จนเมื่อผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่อำเภอหาดใหญ่เมื่อปลายปี พ.ศ.2537 ผมได้ไปหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญด้านกระดูก หมอตรวจและวินิจฉัยว่าผมเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หมอบอกว่าอาการปวดหลังเกิดจากหมอนรองกระดูกหลังที่เคลื่อนออกมา จากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เกิดอาการแบบฉับพลัน ต่อมาอาการที่ปวดหลัง และบริเวณเอวส่วนล่างมีการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้นต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด ผมไม่อยากผ่าตัดเพราะกลัวว่าผ่าตัดแล้วก็ไม่แน่ว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า ผมจึงทนเจ็บต่อไป ตอนนั้นผมอายุเพียง 24 ปี

ต้นปี พ.ศ.2540 ผมกลับมาเยี่ยมแม่ที่อำเภอหาดใหญ่อีกครั้ง แม่บอกว่ามีคนแนะนำครูหมอรักษานวดเส้นแบบแผนไทยโบราณให้ไปลองรักษาดูมั้ย ในใจผมไม่มีความเชื่อกับการรักษาแนวนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าลองดูสักครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร ผมประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเจอกับยายเฉี้ยว เพ็ชรรัตน์ อายุราว 85 ปีรูปร่างเล็กผอมบาง น้ำหนักไม่น่าจะเกิน 35 กิโลกรัม ยายเฉี้ยวใช้วิชาการนวดรักษาให้ผมพร้อมทั้งจัดยาสมุนไพรไทยให้ผมมาทาน ครั้งแรกที่โดนนวดทั้งตัวนั้น ผมไม่มีความรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด เมื่อกลับมาบ้านแล้วทานยาที่ยายเฉี้ยวให้มา คืนนั้นผมรู้สึกปวดจุกมวนแน่นที่ท้อง ปวดตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณเอวและกระดูกด้านหลัง เสียงสำเนียงภาษาใต้ยายเฉี้ยวลอยมาว่า “กินยาแล้วมันจะกระทุ้งเส้นจุดที่เคล็ดที่ปวด อย่าตกใจ เดี๋ยวยายจะนวดแก้เส้นให้”

ผมทนปวดจนถึงเช้า เมื่อผมตื่นจึงรีบอาบน้ำเพื่อไปหายายเฉี้ยว แต่ผมสังเกตว่าเช้านี้ผมถ่ายออกมาเป็นผงสีดำ และมีกลิ่นแรงมาก หลังจากถ่ายแล้วอาการปวดผมก็ทุเลาลงอย่างน่าแปลกใจ เมื่อผมไปพบยายเฉี้ยวอีกครั้ง ผมโดนยายเฉี้ยวนวดเหมือนเดิมแต่คราวนี้ผมร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ ยายเฉี้ยวนวดจุดไหนผมก็เจ็บไปหมด ยายเฉี้ยวหัวเราะชอบใจและบอกว่าไว้ใจนะ ยายจะรักษาให้หายเอง ครั้งนี้ผมอยู่ได้เพียงสัปดาห์เดียวก็เดินทางกลับเชียงใหม่ ผมเริ่มทานยาแก้ปวดที่หมอเคยให้มาน้อยลง ผมนำยาของยายเฉี้ยวกลับมาทานด้วย ปลายปี พ.ศ.2540 ผมจึงตัดสินใจย้ายจากเชียงใหม่กลับมาอยู่บ้านที่อำเภอหาดใหญ่เพื่อสะดวกในการรักษาร่างกายกับยายเฉี้ยวแบบต่อเนื่อง ผมกลับมาอยู่ที่บ้านกับแม่ ผมเหมือนคนใกล้พิการที่เจอทางรักษาแบบทางเลือกที่ทำให้ผมมีความหวังขึ้นมาโดยไม่ใช่การ รักษาแบบเข้าผ่าตัด ที่สะดุดด้วยประโยคที่ว่า 50:50

ผมไม่ได้อยู่หาดใหญ่หลังจากที่ไปเรียนต่อ และทำงานที่อื่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 จนผ่านมาถึงปี พ.ศ.2540 นับเป็นเวลา 10 ปี ตอนนี้ผมได้เวลากลับมาอยู่ที่หาดใหญ่อีกครั้ง บ้านผมอยู่ใกล้ ม.อ. (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ไม่นานนักผมขอเข้าไปร่วมฝึกซ้อมไอคิโดที่ชมรมศิลปะป้องกันตัวของ ม.อ. ตอนนั้นมีนักศึกษาที่ฝึกอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆ โดยมีรุ่นพี่คอยนำฝึกซ้อมกันเอง ส่วนผมก็รักษาตัวกับยายเฉี้ยวไปด้วยและยังคงฝืนไปร่วมฝึกซ้อมแบบระมัดระวัง ไปแบบถือไม้เท้าเดิน พอขึ้นเบาะซ้อม ขยับร่างกายสักพักเข้าที่แล้วก็เล่นกันแบบลืมเจ็บ จนเลิกซ้อมก็คว้าไม้เท้ามาค้ำเดินเหมือนตอนขา มาใจพร้อมแต่กายยังไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไหร่ ฝึกพอประมาณเพื่อรักษาสภาพทั้งมวยและนวดรักษาร่างกายไปพร้อมๆ กัน

จนในปี พ.ศ.2541 ผมซื้อนิตยสารเกี่ยวกับอาวุธปืนมาอ่าน และสนใจอยากเรียนเกี่ยวกับอาวุธปืนดูบ้าง มีการประชาสัมพันธ์โครงการจัดอบรมยิงปืนเบื้องต้นให้แก่บุคคลทั่วไป จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ผมจึงสมัครเข้าร่วมอบรมอย่างไม่ลังเล เพราะอยากจัดการกับคำถามที่มักพบเสมอว่าเรียนมวยแล้วเจอคนใช้ปืนจะทำยังไง

การอบรมจัดขึ้นที่ สนามยิงปืน ร.1 พัน.รอ. วิภาวดี แขวง สามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร สนามอยู่เยื้อง มหาวิทยาลัยหอการค้า โครงการจัดอบรม 2 วันและวันสุดท้ายมีการทดสอบยิง คนที่สอบผ่านตามหลักสูตรจะได้รับสิทธิบัตรด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับครูผู้ฝึกด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการเรียน แม้จะเดินทางมาไกล เพราะผู้อบรมส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล มีทั้งมาเดี่ยว มาเป็นคู่และมากันทั้งครอบครัว บางครอบครัวพาทั้งลูกชายและหญิงอายุยังน้อยราว 9-10 ขวบเท่านั้น

เมื่อครูผู้ฝึกทราบว่าผมฝึกมวยมาด้วย ครูฝึกถามผมว่ารู้จัก เสธ.อำนาจมั้ย ครูฝึกพูดชื่นชมถึง เสธ.อำนาจว่าเป็นรุ่นพี่ที่มีความรู้ความสามารถเรื่องมวยเป็นอย่างมาก ผมจึงตอบกลับไปว่า พันเอกอำนาจ พุกศรีสุข รึเปล่าครับ ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ผมเพิ่งได้ดูสารคดีทางโทรทัศน์เมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับมวยไทยโบราณ ซึ่งมีท่านให้ความรู้อยู่ในสารคดีด้วย ตอนดูผมคิดอยากเจอท่านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอกันได้ยังไง ครูฝึกจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วให้ผมจดเบอร์โทรศัพท์ของ เสธ.อำนาจ ที่บันทึกไว้

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวยไทยเริ่มมีและใช้กันในการสงครามในสมัยก่อน ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันที่ใช้เป็นการกีฬา โดยมีการใช้นวมขึ้นเพื่อป้องกันการอันตรายที่เกิดขึ้น มวยไทยยังคงได้ชื่อว่าศาสตร์การโจมตีทั้งแปดซึ่งรวม สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า (บางตำราอาจเป็นนวอาวุธ ซึ่งรวมการใช้ศีรษะโจมตี หรือทศอาวุธซึ่งรวมการใช้บั้นท้ายกระแทกโจมตี)

มวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยที่สืบทอดกันมานาน เป็นทั้งการต่อสู้ป้องกันตัวและกีฬา ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยใด แต่ถือว่ามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ของไทยเช่นเดียวกับกังฟูของจีน ยูโดและคาราเต้ของญี่ปุ่น และเทควันโดของเกาหลี มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นแต่ละสายตามท้องที่นั้นๆโดยมีสายสำคัญหลัก เช่น มวยท่าเสา (ภาคเหนือ) มวยโคราช (ภาคอีสาน) มวยไชยา (ภาคใต้) มวยลพบุรีและมวยพระนคร (ภาคกลาง) มีคำกล่าวไว้ว่า “หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา”

ในสมัยโบราณจะมี สำนักเรียน (สำนักเรียนมวย แตกต่างจาก ค่ายมวย คือ สำนักเรียนจะมีเจ้าสำนัก หรือครูมวยซึ่งมีฝีมือและชื่อเสียงเป็นที่เคารพรู้จัก มีความประสงค์ที่จะถ่ายทอดวิชาไม่ให้สูญหาย โดยมุ่งเน้นถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์ที่มีความเหมาะสม ส่วนค่ายมวย เป็นที่รวมของผู้ที่ชื่นชอบในการชกมวย มีจุดประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนวิชาความรู้เพื่อนำไปใช้ในการแข่งขันประลอง) โดยแยกเป็นสำนักหลวงและสำนักราษฎร์ บ้างก็ฝึกเรียนร่วมกับเพลงดาบ กระบี่ กระบอง พลอง ทวน ง้าวและมีดหรือการต่อสู้อื่นๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวและใช้ในการสงคราม มีทั้งพระมหากษัตริย์และขุนนางแม่ทัพนายกองและชาวบ้านทั่วไป (ส่วนใหญ่เป็นชาย) และจะมีการแข่งขันต่อสู้ประลองกันในงานวัด และงานเทศกาลโดยมีค่ายมวยและสำนักมวยต่างๆส่งนักมวยและครูมวยเข้าแข่งขันชิงรางวัลเดิมพัน โดยยึดความเสมอภาค

บางครั้งจึงมีตำนานพระมหากษัตริย์หรือขุนนางที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ปลอมตนเข้าร่วมแข่งขันเพื่อทดสอบฝีมือที่เป็นที่ปรากฏได้แก่ พระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) พระเจ้าตากสินมหาราช พระยาพิชัยดาบหัก ครูดอก แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จนเมื่อไทยเสียกรุงแก่พม่า ปรากฏชื่อนายขนมต้ม ครูมวยชาวอยุธยา ซึ่งถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกได้ชกมวยกับชาวพม่า ชนะหลายครั้งเป็นที่ปรากฏถึงความเก่งกาจเหี้ยมหาญของวิชามวยไทย ในสมัยอยุธยา ตอนปลายได้มีการจัดตั้งกรมทนายเลือกและกรมตำรวจหลวงขึ้นมีหน้าที่ในการให้การคุ้มครองกษัตริย์และราชวงศ์ ได้มีการฝึกหัดวิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทยและมวยปล้ำตามแบบอย่างแขกเปอร์เซีย (อิหร่าน)

จึงมีครูมวยไทยและนักมวยที่มีฝีมือเข้ารับราชการจำนวนมากและได้แสดงฝีมือในการต่อสู้ในราชสำนักและหน้าพระที่นั่งในงานเทศกาลต่างๆ สืบต่อกันมาเป็นประจำและเป็นที่น่าสังเกตว่า กองทัพกู้ชาติของพระเจ้าตากล้วนประกอบด้วยนักมวยและครูมวยที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นจำนวนมาก ถึงกับได้มีการจัดตั้งเป็นหน่วยรบพิเศษ 3 กอง คือ กองทนายเลือก กองพระอาจารย์ และกองแก้วจินดา ซึ่งได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญที่ทำให้คนไทยสิ้นความหวาดกลัวต่อทัพพม่า ในการรบที่บ้านนางแก้ว ราชบุรีจนอาจเรียกได้ว่า มวยไทยกู้ชาติ (ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/มวยไทย)

เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมวยไทย ได้แก่

  1. สมัยอยุธยา สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ โปรดการชกมวยมากจนทรงปลอมพระองค์มาชกมวยกับชาวบ้าน และชนะคู่ต่อสู้ถึง 3 คน ดังที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ระบุไว้ในหนังสือ ศิลปะมวยไทยว่า พระเจ้าเสือได้ปลอมแปลงพระองค์เป็นสามัญชน มาชกมวยกับนักมวยฝีมือดีของเมืองวิเศษไชยชาญ และสามารถชกชนะนักมวยเอกถึง 3 คน ได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก โดยทั้ง 3 คน ได้รับความพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำจากฝีมือการชกมวยไทยของพระองค์เมื่อพระมหากษัตริย์โปรดการชกมวยไทยเช่นนี้ ทำให้มีการฝึกมวยไทยกันอย่างแพร่หลายในราชสำนัก และขยายไปสู่บ้านและวัด โดยเฉพาะวัด ถือเป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชามวยไทยเป็นอย่างดีเพราะขุนศึกเมื่อมีอายุมากมักบวชเป็นพระ และสอนวิชาการต่อสู้ให้แก่ลูกศิษย์ที่ดี หรือมีความกตัญญูรู้คุณ โดยเฉพาะนักมวยเด่นในยุคหลังๆ ก็เกิดจากการฝึกฝนกับพระสงฆ์ในวัดแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้การฝึกมวยไทยจึงแพร่หลาย และขยายวงกว้างไปสู่สามัญชนมากยิ่งขึ้น
  2. นักมวยที่มีฝีมือดีมีโอกาสเข้ารับราชการให้ก้าวหน้าได้ โดยเฉพาะการเป็นทหารในส่วนราชการที่เรียกว่า ทนายเลือก ซึ่งเป็นกรมที่ดูแลนักมวย ที่มีหน้าที่พิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้แก่พระมหากษัตริย์
  3. เมื่อครั้งที่นายขนมต้มถูกจับเป็นเชลย และถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงอังวะ ประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ.2310 พม่าได้จัดให้มีการฉลองชัยชนะ ในการทำสงครามกับไทยและสุกี้พระนายกองได้คัดเลือกนายขนมต้มให้ขึ้นชกกับนักมวยพม่า นายขนมต้มสามารถชกชนะนักมวยพม่าได้ถึง 10 คน ดังที่ รังสฤษฎิ์ บุญชลอ กล่าวไว้ว่า “พม่าแพ้แก่นายขนมต้มหมดทุกคนจนถึงกับพระเจ้ากรุงอังวะตรัสชมเชยว่า คนไทยถึงแม้จะไม่มีอาวุธในมือ มีเพียงมือเปล่า 2 ข้าง ก็ยังมีพิษสงรอบตัว” แสดงให้เห็นว่านักมวยไทยมีฝีมือเป็นที่เลื่องลือ
  4. ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นเจ้าเมืองตาก ได้มีทหารเอกคู่ใจที่มีความสามารถด้านมวยไทยมากและอยู่ในชั้นแนวหน้าของทนายเลือก ชื่อว่า นายทองดี ฟันขาว หรือจ้อย ชาวเมืองพิชัย ซึ่งต่อมาได้เป็น พระยาพิชัยดาบหัก เจ้าเมืองพิชัย

การพัฒนามวยไทยเป็นการกีฬาต่อสู้ป้องกันตัว

หลังจากสมัยรัชกาลที่ 6 มวยไทยได้พัฒนามากขึ้นโดยมีการชกมวยแบบสวมนวมชก และนับคะแนนแพ้ชนะ มีการกำหนดยก นักมวยแต่งกายตามมุม คือ มุมแดง และมุมน้ำเงิน เช่นเดียวกับการชกมวยสากล มีค่ายมวยเกิดขึ้นหลายค่าย และมีนักมวยหลายคนที่มีชื่อเสียง คหบดีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ เจ้าเชตุ ได้ตั้งสนามมวยในที่ดินของตนเอง เพื่อนำรายได้จากการชกมวยไปบำรุงกิจการทหาร ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันชกมวยจึงหยุดไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การแข่งขันชกมวยไทยได้เฟื่องฟูขึ้นอีก เพราะประชาชนสนใจ

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2488 ได้มีการจัดตั้งสนามมวยราชดำเนินขึ้น และจัดการแข่งขันชกมวยอาชีพเป็นจำนวนมาก มีนักมวยที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น สุข ปราสาทหินพิมาย, ผล พระประแดง, สมาน ดิลกวิลาศ ประสิทธิ์ ชมศรีเมฆ, เป็งสูน เทียมกำแหง, สุริยา ลูกทุ่ง การชกมวยในระยะนั้น มีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ มีการชกมวยข้ามรุ่นกันได้

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2499 สนามมวยลุมพินีได้เปิดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นักมวยส่วนใหญ่จึงได้ใช้ทั้งเวทีราชดำเนิน และเวทีลุมพินีในการแข่งขันชกมวย โดยทั้งสองสนามนี้ถือว่าเป็นสนามมวยมาตรฐานของประเทศไทย มีการจัดแบ่งประเภทนักมวยเป็นรุ่นต่างๆ ตามน้ำหนักตัวที่กำหนดขึ้น เกิดกติกามวยไทยอาชีพ ฉบับ พ.ศ.2498 ซึ่งแก้ไขปรับปรุงจากฉบับ พ.ศ.2480 ของกรมพลศึกษา และในวันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2498 ได้มีการถ่ายทอดการชกมวยไทยจากสนามมวยราชดำเนินเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นได้มีชาวต่างชาติเดินทางมาฝึกมวยไทย และมีการจัดแข่งขันชกมวยกับนักมวยไทยอยู่เสมอๆ

ต่อมากีฬามวยไทยมีการพัฒนาจนก่อตั้งเป็นสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้การชกมวยไทยต้องมีเครื่องป้องกันอันตราย เพื่อให้นักมวยมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทำให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาแข่งขันมากขึ้นในแต่ละปี และมีการถ่ายทอดการชกมวยทางโทรทัศน์มากขึ้นด้วย ทำให้ธุรกิจมวยขยายตัวออกไปกว้างขวาง ในต่างจังหวัดมีเวทีมวยเกิดขึ้นหลายแห่ง เปิดโอกาสให้นักมวยที่มีฝีมือจากต่างจังหวัด เดินทางเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ มากยิ่งขึ้น

การชกมวยไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่มุ่งเพื่อผลแพ้ชนะและมีผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ศิลปะและแก่นแท้ของมวยไทย นับวันจะเลือนหายไป (ที่มา: สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

อาจารย์ประมวล ภูมิอมร (อาจารย์โค้ว) อาจารย์ที่สอนไท่เก๊กและกังฟูให้ผมนั้น ท่านเคยเล่าว่าท่านเรียนมวยไทยกับอาจารย์ผล พระประแดง มีชื่อจริงว่า ผล พูนเสริม เป็นชาวจังหวัดลพบุรี เป็นนักมวยสากลรุ่นแรกๆ ของประเทศไทย มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นจนได้ฉายา “อาจารย์ผล” หรือ “กระทิงเปลี่ยว”

ประวัติการเรียนมวยที่มีการเผยแพร่ของ พ.อ.อำนาจ พุกศรีสุข (ยศในขณะนั้น) เริ่มต้นเรียนมวยไทยโบราณตำรับลพบุรีกับครูสังเวียน บัวทอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตา

  • พ.ศ.2516 เรียนมวยไทยทวีสิทธิ์กับ อ.โกวิท ยงศิริ ศิษย์ครูอุทัย ผละธัญญะ (ครูอุทัยเป็นศิษย์ของ ครูกิมเส็ง ทวีสิทธิ์)
  • พ.ศ.2519 เรียนมวยไทยสายยนตรกิจกับ อ.หนามเตย ยนตรกิจ (พ.อ.นรินทร์ พวงแก้ว อดีตแชมป์มวยไทย)
  • พ.ศ.2520 เรียนมวยไทยเลิศฤทธิ์กับ พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดชและศิษย์รุ่นพี่คนอื่นๆ อีกจำนวนมาก
  • พ.ศ.2521 เรียนมวยไทยทวีสิทธิ์อีกครั้งกับ รศ.ดร. ชัยสวัสดิ์ เทียนวิบูลย์ (ศิษย์ครูรส ไชยจักร ซึ่งครูรสเป็นศิษย์ของครูกิมเส็ง ทวีสิทธิ์) เรียนมวยไทยสายยนตรกิจอีกครั้งกับ อ. เขียวหวาน ยนตรกิจ (พ.อ. บุญส่ง เกิดมณี) และในปีเดียวกันกันนั้นได้เรียนมวยไทยโบราณสายโคราชกับครูบัว วัดอิ่ม (ร.ท. บัว นิลอาชา) ที่บ้านซอยโซดา ถนนสุโขทัย ขณะนั้นครูบัวมีอายุ ๘๒ ปี
  • พ.ศ.2523 เรียนมวยไทยกับ พ.อ.พงษ์ ภโววาท ที่บ้านถนนสุขุมวิท
  • พ.ศ.2523 ถึง พ.ศ.๒๕๒๕ เรียนมวยไทยไชยา ที่บ้านครูเขตร ศรียาภัย (บ้านซอยมาลย์มงคล) ขณะนั้นครูเขตรได้ถึงแก่กรรมแล้วโดยคุณศรีธร ตันสมบัติ ลูกสาวของท่านได้เชิญลูกศิษย์อาวุโสที่มีชื่อเสียง เช่น ครูสมศักดิ์ ครูณรงค์ ครูใหญ่และครูเปี๊ยกมาช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้
  • พ.ศ.2524 เป็นประธานชมรมมวยไทยเลิศฤทธิ์ โรงเรียนนายร้อย จปร.
  • พ.ศ.2526 รับราชการครั้งแรกที่จังหวัดลำปาง โดยในช่วงวันหยุดได้ไปเรียนมวยไทยอุตรดิตถ์กับคุณตาขอด ที่บ้านศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์
  • ครู (พันเอก) อำนาจ พุกศรีสุข พ.ศ.๒๕๒๗ ย้ายไปรับราชการที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับการถ่ายทอดศิลปะเจิงจากคุณตานวล มณีธร และเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้ล้านนา และมวยไทยจาก
    พ่อครูพัน ยาระณะ (พ่อครูมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พ.ศ.๒๕๔๘) ที่บ้านหน้าค่ายกาวิละ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • พ.ศ.2540 เรียนมวยไทยท่าเสาจากครูฉลอง เลี้ยงประเสริฐ ที่บ้านป่าขนุน อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ พันเอกอำนาจ พุกศรีสุข ท่านเป็นผู้สืบทอดและถ่ายทอดมวยไทยตำรับโคราช ผู้สืบทอดวิชาจากครูบัว วัดอิ่ม (ร.ท.บัว นิลอาชา)

มวยไทยสายโคราช มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย

  1. ประวัติความเป็นมาของมวยไทยสายโคราช มีประวัติความเป็นมา ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะชาวไทยมีการฝึกการต่อสู้ด้วยอาวุธสั้นประกอบกับศิลปะมวยไทย โดยมีเป้าหมายในการปกป้องประเทศชาติ อีกทั้งโคราชเป็นเมืองหน้าด่านชั้นเอก ที่ต้องทำการรบกับผู้รุกรานอยู่เสมอ จึงทำให้ชาวโคราชมีความเป็นนักสู้โดยสายเลือดมาหลายชั่วอายุคน
    1. เมื่อบ้านเมืองสงบ มวยไทยจึงพัฒนามาเป็นศิลปะวัฒนธรรมทางการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นห้วงเวลาที่มวยคาดเชือกรุ่งเรือง มีการจัดการแข่งขันมวย คาดเชือกหน้า พระที่นั่งพลับพลาทรงธรรม สวนมิสกวัน ในงานศพของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช ในวันที่ 18-21 มีนาคม ร.ศ.128
      (พ.ศ.2452) โดยให้หัวเมืองทั่วประเทศ คัดเลือกนักมวยฝีมือดีเข้ามาแข่งขัน นักมวยฝีมือดีชนะคู่ต่อสู้หลายคนจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย ทรงโปรดฯ พระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ ให้กับนักมวยจากมณฑลนครราชสีมา
    2. เป็นขุนหมื่นครูมวย ถือศักดินา 300 คือ นายแดง ไทยประเสริฐ ลูกศิษย์ของพระเหมสมาหาร เจ้าเมืองโคราช เป็นหมื่นชงัดเชิงชก นอกนี้ยังมีนักมวยจากโคราชอีกหลายคน ที่มีฝีมือดีที่เดินทางเข้าไป ฝึกซ้อมมวยกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ วังเปรมประชากร
  2. เอกลักษณ์ของมวยไทยสายโคราช พบว่าสวมกางเกงขาสั้นไม่สวมเสื้อ สวมมงคลที่ศีรษะขณะชกและที่พิเศษที่แตกต่างไปจากมวยภาคอื่นๆ คือ การพันหมัดแบบคาดเชือกตั้งแต่หมัดขึ้นไปจรดข้อศอก เพราะมวยไทยสายโคราช เวลาต่อย เตะวงกว้างและใช้หมัดเหวี่ยงควาย การพันเชือกเช่นนี้ เพื่อป้องกันการเตะ ต่อยได้ดี
  3. กระบวนท่าของมวยไทยสายโคราชพบว่ามีการฝึกตามขั้นตอน ฝึกโดยการใช้ธรรมชาติ เมื่อเกิดความคล่องแคล่วแล้วทำพิธียกครู แล้วให้ย่างสามขุมและฝึกท่าอยู่กับที่ 5 ท่า ท่าเคลื่อนที่ 5 ท่า ท่าฝึกลูกไม้แก้ทางมวย 11 ท่า ฝึกท่าแม่ไม้สำคัญสำคัญ ประกอบด้วย ท่าแม่ไม้ครู 5 ท่า และท่าแม่ไม้สำคัญโบราณ 21 ท่า แล้วก็มีโครงมวยเป็นคติสอนนักมวยด้วยพร้อมทั้งคำแนะนำเตือนสติไม่ให้เกรงกลัวคู่ต่อสู้
  4. ระเบียบประเพณีของมวยไทยสายโคราช วิธีจัดการชกมวยนิยมจัดชกในงานศพที่ลานวัด การเปรียบมวยให้ทหารตีฆ้องไปตามหมู่บ้านแล้วร้องบอก ให้ทราบทั่วกันเมื่อเปรียบได้แล้วให้นักมวย มาชกประลองฝีมือกันก่อน หากฝีมือทัดเทียมกันก็ให้ชก แล้วนัดวันมาชก ในการเปรียบมวย ไม่มีกฎกติกาที่แน่นอน หากพอใจก็ชกกันได้ รางวัลการแข่งขันเป็นสิ่งของเงินทอง หากเป็นการชกหน้า พระที่นั่งรางวัล ที่ได้รับก็จะเป็นหัวเสือและสร้อยเงิน

มวยโคราช (มวยไทยภาคอีสาน)

มวยไทยโคราช เป็นการต่อสู้แบบมือเปล่าที่พันด้วยเชือก หรือด้ายดิบของชนชาติไทย ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5-6 มวยไทยโคราช เป็นมวยที่มีมาในประวัติศาสตร์ไทยมาช้านานเป็นศิลปะมวยไทยที่ มีชื่อเสียงตลอดมาเท่ากับมวยลพบุรี มวยอุตรดิตถ์ มวยไชยา ซึ่งมีนักมวยจากหัวเมืองคือเมืองโคราชได้สร้างชื่อเสียง

จากการไปแข่งขันชกมวยในพระนครโดยชกชนะนักมวยภาคอื่นๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น โดยเริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ พ.ศ.2411 พระองค์ทรงโปรดกีฬามวยไทยมาก การฝึกหัดมวยไทยแพร่หลายไปตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศทรงจัดให้ทีการแข่งขันชกมวยหน้าพระที่นั่งในงานศพของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์อุรุพงษ์รัชสมโภช ในวันที่ 18-21 มีนาคม ร.ศ.128 (พ.ศ.2452) ณ ทุ่งพระรุเมรุ นักมวยที่เจ้าเมืองต่างๆ นำมาแข่งขันล้วนแต่คัดเลือกคนที่มีฝีมือดีจากทั่วประเทศ การแข่งขันครั้งนี้ได้นักมวยที่สามารถชกชนะคู่ต่อสู้หลายคนเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ให้กับนักมวยมณฑลนครราชสีมาเมืองโคราชเป็นขุนหมื่นครูมวย คือ “หมื่นชงัดเชิงชก” ถือศักดินา 300 คือนายแดง ไทยประเสริฐ ลูกศิษย์คุณพระเหมสมาหารเจ้า เมืองโคราช มีชื่อเสียงในการใช้ “หมัดเหวี่ยงควาย” อีกทั้งยังมีนักมวยโคราชที่มีความสามารถจนได้เป็นครูสอนพลศึกษา ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จนถึงเกษียณอายุราชการ รวมเวลาถึง 28 ปี คือ ครูบัว นิลอาชา (วัดอิ่ม) และยังมีมวยโคราชที่มีฝีมือดี เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ถึงกับเป็นครูสอนมวยไทยให้กับนักมวยจากเมืองโคราชที่วังเปรมประชากร เช่น นายทับ จำเกาะ, นายยัง หาญทะเล, นายตู้ ไทยประเสริฐ, นายพูน ศักดา เป็นต้น

มวยโคราชคาดเชือกยุคฟื้นฟูอนุรักษ์สมัยรัชกาล 9 ถึงปัจจุบัน ไม่มีการฝึกซ้อมที่เมืองโคราช แต่ยังมีลูกศิษย์ครูบัว วัดอิ่ม (นิลอาชา) คือพันเอกอำนาจ พุกศรีสุข ทำการถ่ายทอดมวยโคราชคาดเชือกให้กับผู้ที่สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ สืบสาน อยู่ที่กรุงเทพฯ และ ครูเช้า วาทโยธา ที่ยังอนุรักษ์สืบสานถ่ายทอดมวยโคราชให้กับลูกศิษย์และผู้ที่สนใจเป็นประจำที่โรงเรียนบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น (ที่มา: http://www.koratstartup.com/muay-korat/)

มวยโคราชตามการเขียนของครูบัว วัดอิ่ม ซึ่งได้รับการฝึกฝนตามตำรามวยของพระเหมสมาหาร มีการฝึกมวยตามธรรมชาติ คือ เมื่อตื่นนอนให้ชกหมัดทั้งสองข้างขึ้นไปจนกระทั่งตัวลุกขึ้นนั่งตรงเพื่อให้หมัดหนักทั้งสองข้าง เวลาล้างหน้า ให้เอาหน้าถูมือที่ประคองน้ำไว้ เพื่อให้หน้าเคยชินและสามารถส่ายหลบหลีกอาวุธของคู่ต่อสู้ ให้หันหน้าจ้องดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอ่อนๆ จนกระทั่งจ้องต่อไม่ได้ เพื่อให้ตาแข็ง เวลาดำน้ำ ให้ลืมตาตลอดเวลา หรือเอามือสับน้ำ และก้มลงมองโดยไม่กระพริบตา เวลาลอยคอในน้ำให้เอาศอกถองน้ำจนกระทั่งตัวลอยขึ้นมาและเวลาเช้าและเย็นให้หัดชกลม เตะ ถีบ ศอก เข่า กระโดดเข้า-ออก อย่างรวดเร็วทุกวัน

นอกจากนี้ยังมีกระทู้ว่า (1) “เขายาวเราพึ่งฝากชีวา ยาวเขาเราแบ่งอย่าแคลงเลยนา ได้ช่วงมรรคาใต้บนปนไป” หมายความว่าถ้าคู่ต่อสู้สูงยาวกว่า นักมวยต้องเข้าวงในและไม่เลือกเป้าหมายว่าต้องเป็นบนหรือล่างเท่านั้น (2) “ถ้าเขายาว เราพึงฝากชีวิต อย่าควรคิด คาดคง เข้าตรงหน้า ต้องค่อยแบ่ง แย้งรอมรคา พอได้ท่า ใต้บน ปนกันไป” หมายความว่า ถ้าคู่ต่อสู้สูงยาว และแข็งแรง นักมวยจะเข้าตรงหน้าไม่ได้ จะต้องเอี้ยวหรือเบี่ยงตัวไปทางข้างแล้วเตะต่อยเอาตามโอกาสโดยไม่เลือกบน-ล่าง (3) ถ้าคู่ต่อสู้หลอกล่อ ต้องคุมเชิงนิ่ง เมื่อเขาอ่อน เรารุก ถ้าคู่ต่อสู้ชำนาญในเชิงปล้ำ นักมวยต้องชกวงนอก หลอกล่อแล้วเตะต่อยเข้าเป้าหมายสำคัญๆ เช่น ตา จมูก ปาก ชายโครง ยอดอก เป็นต้น เวลายืนคุมเชิง หมัดต้องไม่ตก น้ำหนักตัวอยู่ขาหน้า เข่าทั้งสองข้างงอเล็กน้อย และตาต้องจ้องดูระหว่างราวนมกับสะดือของคู่ต่อสู้ เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกส่วนของคู่ต่อสู้

  1. ไม้ครูหรือแม่ไม้ ตามคำกลอนของมวยโคราช ไม้ครูหรือแม่ไม้จะมีเพียง 5 ไม้ คือ
    1. “ไม้หนึ่ง หมัดที่ยื่น ชักคืนมา ตีเท้าหน้า พร้อมชักให้ยักตาม” หมายความว่า ให้ชักหมัดหน้าที่ยื่นเข้าหาตัว เตะหรือถีบด้วยเท้าหน้า แล้วตีศอกตามไป แต่ครูบัว เขียนใหม่ว่า “ชักหมัดมา เตะตีนหน้าพร้อมหมัดชัก” คือ ให้ชักหมัดกลับและเตะหรือถีบด้วยส้นเท้าหรือหัวแม่เท้าที่ยอดอกหรือคางของคู่ต่อสู้ ไม่มีการตีศอกตามไป
    2. “ไม้สอง ให้ปิดปก ชกด้วยศอก” หมายความว่า ให้งอแขนปิดข้างหัวเพื่อกันหมัดหรือเตะ แล้วสวนด้วยศอก แต่ครูบัวเขียนใหม่ว่า “ชักปิดปกชกด้วยศอก” คือ ใช้หมัดปิดปัดหมัดคู่ต่อสู้ แล้วชกตอบด้วยศอก
    3. “ไม้สามบอก ห้ามไหล่ คือ ไม้สาม” หมายความว่า เมื่อคู่ต่อสู้จะต่อย นักมวยต้องชิงต่อยคู่ต่อสู้ตรงร่องไหล่ เพื่อมิให้คู่ต่อสู้ออกอาวุธ แต่ครูบัวเขียนว่า “ชกห้ามไหล่” คือ นักมวยต้องปัดหมัดคู่ต่อสู้ออกไป แล้วต่อยร่องบ่าด้วยหมัดตรงข้อนิ้วมือข้อที่สอง
    4. “ไม้สี่ให้ ชกนอก ท่านบอกความ ชักออกตามชกใน ไขวาที” หมายความว่า ให้ชกคู่ต่อสู้วงนอกหมายหน้าคู่ต่อสู้เป็นการหลอก เสร็จแล้วต่อยตามด้วยการชกวงใน ครูบัวเขียนว่า “เมื่อเข้าให้ชกนอก เมื่อออกให้ชกใน” คือ ต่อยวงนอกให้คู่ต่อสู้ปัด เสร็จแล้วต่อยข้างในด้วยการพุ่งหมัดไปตรงหน้าอกหรือปากก่อนกระโดดถอยหลังโดยเร็ว (5) “ประสานงา ไม้ห้า ท่านบอกไว้” หรือ “ชกช้างประสานงา” ของครูบัวคือการต่อยสวนไปที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้แต่ต้องให้หัวก้มลงแนบกับแขนข้างที่ต่อยออกไป แล้วชก 1-2 ตามไปเรื่อยๆ
  2. ลูกไม้หรือไม้เบ็ดเตล็ด ซึ่งมวยโคราชมีทั้งหมด ๒๑ ไม้ ด้วยกันคือ
    1. ทัดมาลา – การตีศอกงัดขึ้น หรืออาจจะเป็นการปิดหูด้วยศอก แล้วต่อยสวนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
    2. กาฉีกรัง – การใช้มือทั้ง ๒ ข้างกดหมัดหรือปัดออกทั้งสองข้างแล้วยกเท้าถีบยอดอก
    3. หนุมานถวายแหวน – การจับข้อศอกคู่ต่อสู้ยกขึ้น อีกมือหนึ่งต่อยปากด้วยหมัดสอยดาวหรือหมัดเสย
    4. ล้มพลอยอาย – เมื่อคู่ต่อสู้ล้มลงเพราะถูกเราจับหรือล้มเอง ให้ล้มทับลงไปและถองด้วยศอกที่หน้าอกหรือศอกกอที่หลังเท้า
    5. ลิงชิงลูกไม้ – เมื่อปัดเตะแล้ว ให้ต่อยหมัดคู่หงายหมัดออกไปตรงๆ ไปยังหน้าอกหรือคาง โดยให้หัวแนบติดหมัดและเอียงตัวไปตามมือที่นำหน้า (มือสองข้างถึงเป้าไม่พร้อมกัน)
    6. กุมภกรรณหักหอก – เมื่อจับขาที่เตะมา อีกมือกดเข่าเอาไว้ เอาเข่ากระแทกโดนขาที่จับไว้โดยแรง
    7. ฤาษีมุดสระ – เมื่อคู่ต่อสู้กระโดดถองหัวให้รีบทรุดตัวลงนั่ง ใช้สองมือแหวกขาคู่ต่อสู้และลอดตัวเข้าหว่างขาแบกขึ้นและดันให้คู่ต่อสู้พลัดหงายหลังลงไป
    8. ทศกัณฐ์โศก – เมื่อคู่ต่อสู้กระโดดจะถองหัว ให้กระทุ้งหมัดทั้ง ๒ ข้างขึ้นไปยังคางของคู่ต่อสู้ (หมัดสอยดาวคู่หรือถวายแหวน)
    9. ตะเพียนแฝงตอ – ครูบัวเขียนไว้ว่า ให้นักมวยหลอกล่อเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ ก้มตัวลงเอามือกดขาทั้งสองข้างของคู่ต่อสู้ พอคู่ต่อสู้ขยับจะต่อยหรือถอง ก็เอาหมัดทั้ง ๒ กระทุ้งที่ชายโครงหรือลูกคาง
    10. นกคุ้มเข้ารัง – ให้เอามือทั้งสองสอดใต้แขนของคู่ต่อสู้ แล้วเสยปัดให้มือเปิดออก เอาหัวกระแทกหน้าอกของคู่ต่อสู้โดยแรง
    11. คชสารกวาดหญ้า – การแกล้งต่อยวงกว้างให้เขาปิดปัด ใช้มือที่หลอกต่อยรวบหมัดทั้งสองข้างของคู่ต่อสู้มาไว้ใต้รักแร้ ใช้มืออีกข้างหนึ่งต่อยปากหรือจมูก เสร็จแล้วใช้มือที่รวบหมัดศอกกระทุ้งหน้าอกก่อนกระโดดออกมา
    12. หักหลักเพชรหรือหักเหล็กเพชร – ท่าคล้ายตะเพียนแฝงตอ แต่ไม่กดขา พอเขาเตะก็รีบจับขายกขึ้นโดยเร็ว ใช้ส้นเท้าถีบที่โคนขา (ที่ยืน) อย่างแรง
    13. คชสารแทงโรง – การกระโดดถีบตรงหน้าอก พร้อมพุ่งหมัดทั้งสองข้างไปที่ปากอย่างรวดเร็ว
    14. หนุมานแหวกฟอง – การขยับหลอกจะต่อย แล้วกระโดดทิ้งตัวไปด้านข้าง ใช้มือทั้งสองยันพื้นแล้วถีบหลังด้วยส้นเท้าที่หน้า จากนั้นให้หลบไป ทางข้างหลังของคู่ต่อสู้
    15. ลิงพลิ้ว – การหลอกว่าจะต่อยหมัดตรง เสร็จแล้วรีบพลิกตัวตีศอกกลับเข้าหน้าทันที
    16. กาลอดบ่วง – การหลบเตะลงต่ำให้ขาคู่ต่อสู้ข้ามหัว พอขาพ้นไปแล้วก็ต่อยสวนที่คางหรือหน้าอก
    17. หนุมานแบกพระ – เมื่อคู่ต่อสู้กระโดดเตะ ให้ก้มตัวลงลอดขา มือหนึ่งจับโดนขาที่ไม่ได้เตะ อีกมือหนึ่งจับรักแร้ให้ยกตัวขึ้นแล้วพุ่งไปโดยแรง ให้หัวคู่ต่อสู้ฟาดพื้น
    18. หนูไต่ราว – เมื่อคู่ต่อสู้เตะหรือต่อย ให้ปิดหรือหลบไปข้าง แล้วเตะหรือต่อยสวนไปทันที
    19. ตลบนก – การขยับจะหลอกต่อยชายโครง พอเขาปิดเราก็ชักมือกลับ และช้อนขึ้นข้างบนใช้ศอกถองหัว ถ้าเขาปิดหมัดไม่ทันก็ต่อยชายโครงก่อนช้อนขึ้นใช้ศอกถองหัว
    20. โกหกหรือตอแหล – การทำท่าต่อยเหวี่ยงพอเขาปิดก็ใช้มือที่ขยับหลอกต่อยหมัดตรงที่ปากโดยเร็ว แล้วต่อยและเตะตามทันที
    21. หนุมานถอนตอ – เมื่อคู่ต่อสู้เตะมา จับขาไว้แล้วยกขึ้นสูงเสมอไหล่ ใช้เท้าถีบพุ่งที่หัวเหน่า

เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม้มวยของโคราชอาจมีชื่อเหมือนไม้มวยของบางสายมวยหรือสำนักมวยอื่น แต่วิธีการใช้อาวุธจะไม่เหมือนกับสำนักมวยหรือสายมวยอื่นหลายไม้ด้วยกัน นอกจากนี้ครูบัวยังได้กล่าวเตือนนักมวยไว้ว่า ห้ามประมาท ห้ามหวาดหวั่น ห้ามโกรธเวลาเจ็บ ให้ยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และพระมหากษัตริย์ และให้พิจารณาชั้นเชิงของคู่ต่อสู้ให้ดีก่อนเข้าโจมตี สำนักมวยที่ได้กำหนดการใช้หัวเป็นอาวุธ คือ มวยโคราช

การใช้หัวของมวยโคราชจึงเป็นการกำหนดเป้าหมายมากกว่าวิธีใช้ แต่ถ้าวิเคราะห์อย่างดีแล้ว ก็จะเห็นว่ามวยโคราชกำหนดหน้าผาก หัวด้านซ้าย และหัวด้านขวาเป็นอาวุธในการเข้าปะทะเป้าหมาย ไทยุทธก็กำหนดตำแหน่งปะทะของหัวคือ ด้านหน้า ด้านซ้าย ด้านขวา และด้านหลัง ไว้เช่นกัน (ที่มา: bananasaw.blogspot.com/2013/04/5-2411-11-3-47-5-5-11-5-21.html)

เมื่อผมเข้าร่วมฝึกอบรมยิงปืนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว วันต่อมาผมจึงโทรหาเสธ.อำนาจเพื่อขอไปพบ ท่านรับสายและนัดให้ผมไปพบในตอนเย็น ที่ร้านอาหารผมจำชื่อร้านไม่ได้จำได้แต่ว่าร้านอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่านมีนัดทานข้าวกับครอบครัวในวันเกิดของลูกสาวคนโต อายุราว 8 ขวบ

“จะมาเรียนหรือมาลอง” เสธ.อำนาจพูดกับผมเมื่อเจอหน้ากันในวันแรก ผมยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มออกไปแทน ท่านรับไหว้แล้วบอกให้ผมนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวท่าน นับเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่ร้านอาหาร ท่านพูดคุยถึงศาสตร์ด้านมวยไทยและศาสตร์ด้านอื่นๆอย่างออกอรรถรส ท่านเป็นผู้มีความรู้และถ่ายทอดได้อย่างสนุกน่าฟัง เสร็จจากทานอาหารมื้อเย็นท่านจึงชวนผมไปคุยกันต่อที่บ้านพักแถว ซอยอินทามระ 20 ถนนสุทธิสารดินแดง

ชีวินเรียนมาหลายมวยแล้วจะ ให้พี่สอนอะไรเพิ่ม (เสธ.อำนาจ บอกผมว่าให้เรียกท่านว่าพี่อำนาจ ท่านว่าคุยกันแบบพี่น้อง สบายๆ ดี) เอาศอกเพิ่มมั้ย? ท่านถาม ไหนลองออกศอกให้ดูซิว่าได้กี่ศอก ผมออกท่าศอกราว 32 ศอก ท่านเห็นก็ว่าได้เยอะแล้วนะ แล้วท่านก็เปิดวิดีโอการแสดงโชว์มวยไทยเลิศฤทธิ์ให้ผมดูไปด้วย เราคุยกันอีกหลายเรื่อง ผมซาบซึ้งในความเมตตาที่ท่านมีให้ แม้จะพบกันแค่ครั้งแรกแต่ท่านก็สละเวลาให้ความรู้พูดคุย อย่างเป็นกันเอง จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืน ผมจึงขอลากลับ และขออนุญาตมาหามาเยี่ยมอีกในโอกาสต่อไป เพราะผมต้องกลับหาดใหญ่และไม่ค่อยได้ขึ้นมากรุงเทพฯบ่อยนัก แต่ก็โทรศัพท์ไปหาท่านอยู่เสมอ

ในปี พ.ศ.2544 ท่านลงมาราชการที่จังหวัดยะลา และได้แวะพักที่อำเภอหาดใหญ่ด้วย ท่านบอกว่าช่วงนี้มีการอบรมครูผู้ฝึกสอนของสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ท่านเป็นครูผู้สอนและเป็นเลขาธิการสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยในขณะนั้นด้วย เพราะวันเวลาจำกัดท่านจึงนัดให้ผมไปฝึกตามหลักสูตรกับท่าน ฝึกกันที่ห้องพักในโรงแรม จนเป็นที่มาของคำที่มักจะแซวผมต่อหน้าคนอื่นๆ ว่า “ชีวินมันฝึกมวยบนพรม” วันต่อมาท่านมาที่บ้านผมเพื่อทดสอบผมตามหลักสูตรจนครบพอใจ ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง เสร็จแล้วท่านจึงมอบวุฒิบัตรให้และแซวผมว่า “ชีวินเล่นมวยไทยแต่ดูยังไงก็เหมือนเล่นมวยจีนว่ะ”

ต่อมาท่านเลื่อนยศเป็นพันเอก (พิเศษ) อำนาจ และใช้ชื่อมวยที่สอนถ่ายทอดว่า มวยไทยนวรัช มวยนวรัชคือมวยไทยที่สังเคราะห์จากมวยโคราช โดยใช้เคล็ดจากมวยไทยกรุงศรีอยุธยา มวยไทยโบราณสายต่างๆ โดยมีแกนหลักเป็นมวยโคราช โดยเป็นรูปแบบที่บูรณาการจากองค์ความรู้ต่างๆ ที่สามารถสืบค้นได้ใน 9 รัชกาล ทั้งนี้พันเอก (พิเศษ) อำนาจ ยังเป็นผู้ฝึกสอนมวยไทยสายโคราชแก่นักแสดงนำภาพยนตร์อย่างจา พนม นักบู๊ชื่อดังของไทยอีกด้วย

ปัจจุบันพลตรีอำนาจ พุกศรีสุข (ยศปัจุบัน พ.ศ.2563) เป็นครูใหญ่แห่งสำนักมวยไทยนวรัช ผมนับถือท่านเป็นครูผู้เสมือนเป็นหอสมุดเคลื่อนที่ ที่เปิดมิติหลากหลายมุมมอง ตลอดจนองค์ความรู้มากมายในศาสตร์ของมวยไทยให้ได้สืบต่อๆ ไป

ติดต่อเรา

บทความและข่าวสารอื่นๆ

IMG_2261 (Web H)
สนามมวยเวทีลุมพินี (อังกฤษ: Lumpinee Boxing Stadium) เป็นสนามมวยมาตรฐานของประเทศไทยที่มีความสำคัญเที...
IMG_2261 (Web H)
บอดี้การ์ด หรือผู้คุ้มกันส่วนบุคคล คือบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนและว่าจ้างให้ทำหน้าที่ปกป้องบุคคลสำคัญจา...
IMG_2261 (Web H)
ไทยไฟต์ (THAI FIGHT) เป็นทัวร์นาเมนท์มวยไทยระดับโลกที่เริ่มจัดมาตั้งแต่ พ.ศ.2553 โดยมีนักมวยไทยจากนา...
IMG_2261 (Web H)
ดาบคาตานะ (Katana) เป็นดาบญี่ปุ่นที่มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนักรบซามูไร (Samurai) ควา...
IMG_2261 (Web H)
ซามูไร (Samurai) คือกลุ่มนักรบผู้ทรงเกียรติที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น นักรบซามูไรไม่ได...
4P1A0873 (Web H)
กล็อก หรือ Glock เป็นชื่อของปืนพกที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ผลิตโดยบริษัท G...
Before you continue to use Taifudo Academy
We use required cookies for site navigation, purchasing, improving your browsing experience to:
  • Provide you with services described on the Sites, general administrative and performance functions, and support services;
  • Operate the Sites and verify your identity when you sign in to any of our Sites;
  • Inform you about company news and give updates on our services;
  • Carry out technical analysis to determine how to improve the Sites and services we provide;
  • Track outages and protect against spam and fraud.
If you choose to “Accept all,” we will also use cookies and data to:
  • Improve site performance;
  • Deliver and measure the effectiveness of ads;
  • Show personalized content and ads, depending on your settings.
You can always change your browser settings and other ways to reject cookies. To learn more, please visit www.allaboutcookies.org.