สำหรับผู้สนใจ และหลงใหลในเส้นทางวิทยายุทธ ผมจะพาทุกท่านเข้าไปในห้วงเวลาในการฝึกฝนมวย และแบ่งปันประสบการณ์ด้านศิลปะการต่อสู้ ที่หล่อหลอมผมจนมาเป็นผู้คิดค้นศาสตร์ไทฟูโด ศิลปะการป้องกันตัว โดยคนไทย
พ่อผมมีเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ที่บ้านจันดี อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช แม่ผมมีเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ที่ ตำบลนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อพ่อและแม่แต่งงานกันแล้วก็ย้ายมา อยู่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผมเกิดและโตที่อำเภอหาดใหญ่มีน้องสาว 1 คน เราทั้งสองอายุห่างกัน 1 ปี
เมื่อแม่ย้ายมาอยู่หาดใหญ่ก็ทำงานเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งนอกจากงานสอนหนังสือแม่ก็จะจัดหาสินค้าต่างๆ เช่น ไฟฉาย ตะเกียง หินลับมีด มีดกรีดยาง สินค้าเกษตรบางชนิด และกาแฟ เป็นต้น เพื่อให้พ่อตระเวนขับรถไปขายส่งให้ร้านค้าย่อยๆ ตามในเมืองและชนบท ขับรถไปทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้ เมื่อของหมดก็กลับบ้านมาเตรียม ของรอบใหม่ต่อไปโดยแม่เป็นคนจัดเตรียมทุกสิ่งขนวางบนรถเช็คทุกรายการอย่างเรียบร้อย แม่เป็นคนลงมือคั่วกาแฟบรรจุลงปิ๊บด้วยตัวเองสอนหนังสือทั้งวัน ตกค่ำคั่วกาแฟเข้านอนตอนตี 3 และตื่น 6 โมงเช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงานสอนหนังสือ เมื่อแม่มีผมและน้องที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้แม่คิดหาพี่เลี้ยงมาช่วยแบ่งเบา แต่บรรดาพี่เลี้ยงที่มาช่วยก็ทำงานได้แค่คนละไม่กี่เดือนก็ลาออก แม่เคยเล่าว่าเพราะพ่อห่วงลูกมากเกินไป เช่นลูกมีรอยยุงกัด หรือรอยแผลนิดหน่อยก็จะตำหนิพี่เลี้ยงว่าดูแลไม่ดี จนไม่มีใครอยากทำงานด้วยแม่จึงเหมารับภาระทั้งงานนอกบ้าน งานในบ้าน เลี้ยงลูกเล็กๆ ไปพร้อมๆ กัน แม่พาพวกเราไปโรงเรียนด้วยไปอยู่ในห้องพักครู เจ้าของโรงเรียนก็อนุญาต เพื่อนครูที่ว่างจากการสอนก็มาช่วยๆ กันเลี้ยงด้วยความเอ็นดู
พ่อชอบทำอาหาร พ่อมักชงชาและกาแฟที่จะเอาไปขายเพื่อทดสอบรสชาติก่อน ชาและกาแฟที่พ่อชงอร่อยเข้มข้นมาก ผมมักจะเปิดตู้เย็นเพื่อแอบชิมชาและกาแฟที่พ่อชงแช่ ตู้เย็นเอาไว้เสมอ บ้านที่ผมอยู่ตอนนั้นเป็นเป็นบ้านเช่ากึ่งปูนกึ่งไม้ ปู่ของผมและญาติพี่น้องฝ่ายพ่อจากทุ่งสงที่ย้ายมาเรียนหรือมาทำงานที่หาดใหญ่ก็สลับกันมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้
ปู่ผม (อากุ๊งในภาษาฮกจิว) เป็นชาวฮกจิวมาจากอำเภอฮกจิว มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนปู่อพยพมาอยู่ที่บ้านจันดี อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชช่วง 10 กว่าปีที่ปู่มาอยู่หาดใหญ่ปู่ก็มาอยู่ที่บ้านผม ผมจำภาพได้ว่าช่วงเช้าตรู่ในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ตอนผมอายุราว 7 ขวบ ผมมักเดินไปกับปู่ซึ่งท่านออกไปรำไท่เก๊กกับเพื่อนๆ ของท่านเป็นกิจวัตรที่สมาคมฮากกา ผมตามไปด้วยและหาอะไรเล่น ตามประสาเด็กๆ รอปู่ไปรำไท่เก๊ก อยู่บริเวณนั้น เพื่อนปู่คนหนึ่งมักสอนท่าคว้า จับให้กับผมโดยการจับข้อมือผมบิดหมุนออกไปซ้ายแล้วควงมือผมบิดออกไปทางขวา จากนั้นก็ยกขึ้นแล้วกดลง เป็นการคว้าจับหักล็อกข้อต่อในลักษณะ 4 ทิศ และให้ผมทำตาม มือผมเล็กและอ่อนแรงกว่าเพื่อนปู่มาก ท่าที่ทำไปก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนปู่รู้สึกเจ็บ แต่หากทุกท่าที่เพื่อนปู่ออกแรงคว้าหมุนยกขึ้นกดลงบิดซ้ายบิดขวา ผมก็จะรู้สึกเจ็บเอ็นกล้ามเนื้อ แต่ก็เจ็บแบบทนได้เพราะเพื่อนปู่จะออกแรงแค่นิดหน่อยซึ่งผมไม่ได้รับบาดเจ็บในการฝึกกับเพื่อนปู่แต่อย่างใดผมจำได้และทำจนคล่องมือแต่ไม่เข้าใจมากนัก กว่าผมจะรู้ว่ามันคือ “ฉินหน่า” หรือการคว้าจับหักล็อกของมวยจีน (มวยคว้าจับหักล็อก) เวลาก็ผ่านล่วงเลยมาอีกกว่า 10 ปี
ฉินหน่า (Qinna / Chin Na ; 擒拿) เป็นเทคนิคการจับล็อกข้อต่อ ที่ใช้ในศิลปะการต่อสู้ของจีนเกือบทุกแขนงเพื่อควบคุม หรือล็อกข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ หรือเอ็นกล้ามเนื้อของคู่ต่อสู้เพื่อให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังนั้นจึงทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ลดลง
Table of contents

เทคนิคของ ฉินหน่า (Qinna) ไม่เพียงแต่จะมีการล็อกเท่านั้น แต่ยังรวมถึง
- การแยกกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น โดยนิ้ว “บีบ” แยกกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นของร่างกายของคู่ต่อสู้ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง เช่น ท่าในมวยเสือและท่ามวยนกอินทรี เป็นต้น
- การทำให้กระดูกเคลื่อน เป็นเทคนิคที่เมื่อใช้กำลังเต็มที่อาจทำให้เกิดการหลุดหรือหักของกระดูกหรือทำลายข้อต่อกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นรอบๆ กระดูก อย่างไรก็ตามควรใช้แรงที่น้อยที่สุด ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโดนควบคุมลงสู่พื้น และสงบลงโดยไม่มีความเสียหายเพิ่มเติม
- การอุดกั้นลมหายใจ หมายถึงปิดกั้นอากาศหรือปิดการหายใจเข้าที่สำคัญ วิธีการที่ชัดเจนโดดเด่นคือการบีบคอหรือล็อกคอ อัตราการหายใจยังสามารถถูกขัดจังหวะได้โดยการใช้พลังตีช่องท้อง, รักแร้หรือกระดูกซี่โครงทำให้กล้ามเนื้อกระตุก และปอดบีบรัด ทำให้เกิดสูญเสียลมหายใจชั่วคราว
- กดหลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดง เป็นการขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้หมดสติหรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้เทคนิคเหล่านี้จึงไม่ได้สอนอย่างเปิดเผย ผู้ฝึกจะต้องมีคุณธรรมสูง อย่างไรก็ตามเมื่อใช้ในทางที่ถูกต้อง สามารถใช้ในการรักษาหรือรักษาโรค และบรรเทาอาการปวดได้
- การกดที่จุดความดันหรือช่องลมปราณทั่วร่างกาย การโจมตีไปยังจุดเหล่านี้อาจถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากควบคุมการทำงานของร่างกาย และจิตใจอย่างสมบูรณ์อาศัยการไหลเวียนโลหิตการบำรุงรักษาอวัยวะ และระบบทางชีวภาพ เช่นหัวใจ ระบบประสาท หากมีสิ่งกีดขวางทางเดินที่พลังงานสำคัญผ่านไป เกิดความไม่สมดุลของพลังงานในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยทำลายสมองหรือเสียชีวิต เทคนิคนี้นับเป็นระดับสูงสุดของ “ฉินหน่า (Qinna)”
วันหนึ่งเจ้าของบ้านเช่าซึ่งอาศัย อยู่ใกล้ๆ กันมาเสนอขายบ้านอาคารพาณิชย์ ที่เขาเพิ่งสร้างในละแวกนั้นให้แม่ผม แม่ผมปฎิเสธโดยบอกเหตุผลว่าแม่มีภาระเยอะ เงินที่หาได้ต้องแบ่งใช้ในครอบครัวและจุนเจือญาติๆ ที่มาอาศัยด้วย ตอนนี้ไม่มีหลักทรัพย์อะไรที่จะกู้ยืมเงินธนาคารคงไม่มีปัญญาซื้อ เจ้าของบ้านเช่าบอกว่าไม่ต้องกังวลเขาจะจัดการเรื่องกู้ยืมให้เองเพราะเขามั่นใจว่าแม่ผมสามารถชำระได้แน่นอน เจ้าของบ้านเช่าบอกแม่ผมว่าเขาไม่กังวลเรื่องเงินเลย แม่ผมไม่เคยค้างค่าเช่าและทุกครั้งที่เขากลับจากเที่ยวดิสโก้เธคแม้เวลาจะตี 1 กว่าแล้วแต่เขาก็เห็นแสงไฟจากในบ้านผมเล็ดลอดตามประตูและฝาไม้ เมื่อเดินผ่านก็ได้ยินเสียงแม่ผมยังคั่วกาแฟ ผู้หญิงที่ขยันทำงานแบบนี้ควรได้รับโอกาสดีๆ แม่ผมได้ฟังจึงตกลงและได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เป็นตึก 3 ชั้น
แม่ผมเริ่มทำอาชีพเสริมโดยการเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตไปด้วย ต่อมาแม่ลาออกจากอาชีพครูเพื่อมาทำอาชีพตัวแทนประกันชีวิตแบบเต็มเวลา การเป็นอยู่ครอบครัวเราเริ่มดีขึ้น จนกระทั่งแม่ต้องมาชำระหนี้แทนเพื่อนจำนวนกว่าล้านบาท (40 ปีกว่าที่แล้ว) เพราะแม่เซ็นสลักหลังเช็คเพื่อค้ำประกันให้เพื่อน เมื่อเพื่อนเบี้ยวหนี้หนีไป เจ้าหนี้จึงตามทวงหนี้ที่แม่ เจ้าหนี้มายืนตะโกนทวงอยู่หน้าบ้าน แม่รับปากจะใช้หนี้ที่แม่ไม่ได้ก่อขึ้น แม่บอกให้เขากลับไปและไม่ต้องมาทำแบบนี้อีก แม่ทำงานอย่างหนักเพื่อใช้หนี้นั้นจนหมดทุกบาททุกสตางค์ภายในเวลา 3 ปี ผมและแม่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนัก แม่ออกจากบ้านแต่เช้าและกลับค่อนข้างดึก บ่อยครั้งที่แม่สื่อสารกับผมผ่านกระดาษโน้ตเขียนแล้ววางไว้บนโต๊ะ ผมเข้าใสถานการณ์ดี ผมพยายามดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้แม่ต้องกังวลเพิ่ม
ตอนผมอายุ 8 ขวบ ผมโดนเพื่อนคนหนึ่งแย่งลูกชิ้นในจานอาหารกลางวันที่โรงเรียน เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มีเมนูอาหารเป็นลูกชิ้น ผมคิดว่าถ้าเขาขอผมดีๆ ผมก็คงแบ่งให้ แต่มาจิ้มลูกชิ้นเอาไปแบบไม่บอกไม่กล่าวไม่มีความเกรงใจ ได้ลูกชิ้นไปก็ยิ้มแบบเยาะๆ ผมรู้สึกเหมือนโดนแกล้งโดนเอาเปรียบ ผมสะสมความไม่พอใจและรวบรวมความกล้าจนกระทั่งวันที่สุดจะทนทันทีที่เขามาจิ้มลูกชิ้นผมอีก ผมคว้าส้อมทำท่าไล่แทงเพื่อนคนนั้นแบบเด็กวิ่งไล่กัน ผมวิ่งไล่พร้อมตะโกนร้องเสียง อาาาาาาาาา เพื่อปลดปล่อยความอึดอัดไปด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะกล้าแทงเพื่อนจริงๆ มั้ยแค่ผมไม่อยากทนที่จะโดนรังแก ครั้งนั้นผมถือส้อมไว้ในมือวิ่งไล่เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่าจะไม่ยอมทนโดนเอาเปรียบโดนรังแกอีกต่อไป หลังจากวันนั้นเพื่อนคนนั้นก็ไม่เคยมายุ่งกับอาหารกลางวันผมอีกเลย
แม้ผมค่อนข้างที่จะตัวเล็ก แต่ก็ชื่นชอบการเล่นกีฬามาตลอด จนมีครูท่านหนึ่งชื่อครูพวง (จำนามสกุลไม่ได้) เห็นแววผมเข้า จึงชักชวนให้ผมเข้าชมรมยืดหยุ่น และฝึกหัดอย่างจริงๆ จังๆ ผมได้คัดเลือกให้เข้าทีมเพื่อแสดงโชว์ในงานแสดงของโรงเรียนอยู่เสมอ การฝึกยืดหยุ่นของครูเริ่มจากพื้นฐานคือการยืดร่างกาย และการหยุ่นร่างกายคือยืนตัวตรงให้เอาฝ่ามือแตะพื้น การย่อ การลุกการเหยียด การบิด การม้วนหน้า ม้วนหลัง การหกสูง การพุ่งม้วนการตีลังกาหน้าการตีลังกาหลัง
การตีลังกาหน้าบิดเกลียว การตีลังกาต่อเนื่อง ด้วยพื้นฐานยืดหยุ่นเหล่านี้ที่ผมฝึกต่อเนื่องตั้งแต่ชั้น ป.2 จนถึง ม.3 ทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆ สร้างตัวขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยมีกำลังข้อที่แข็งแรง พร้อมกับความยืดหยุ่นของเส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ แต่ผมก็ยังตัวเล็กอยู่ดี แม้ว่าจะสูงขึ้นมาบ้างแต่น้ำหนักก็ยังถือว่าเป็นคนค่อนข้างผอม แต่สิ่งที่ผมได้รับคือความแข็ง แรง ปราดเปรียว และคล่องว่องไว

ครั้งหนึ่งในตอนเป็นเด็ก ผม และเพื่อนๆ ในซอยบ้านเดียวกันชวนเล่น ตำรวจจับโจร ผมเล่นเป็นโจร ผมวิ่งหนีขึ้นไปบนชั้น 4 ของตึกที่กำลังก่อสร้าง เพื่อนที่เล่นเป็นตำรวจไล่ตามขึ้นมาทัน ผมไม่อยากโดนจับ จึงตัดสินใจรีบกระโดดหนีจากความสูงตึก 4 ชั้น ลงมายังกองทรายที่สูงประมาณเข่าที่กองอยู่ชั้นล่างหน้าตึกผมวิ่งหนีต่อโดย ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระโดดลงมา ได้ยินแต่เสียงชาวบ้านตะโกนไล่ให้ไปเล่นที่อื่น ไม่ให้เล่นผาดโผนเสี่ยงอันตรายที่ตึกนี้ ในวันถัดมาผมไม่ได้ไปแต่มีเพื่อนที่ไปวิ่งเล่นที่นั่นกันอีก มีคนกระโดดลงมาและพลาดโดนเหล็กเส้นที่ยื่นออกมาบาดขาเป็นแผลยาวเย็บหลายสิบเข็มมีรอยแผลเป็นยาวน่าหวาดเสียวนับแต่นั้นมา เด็กๆ ก็ไม่กล้าไปเล่นแบบนั้นกันอีกเลย
อีกเหตุการณ์ตอนเด็ก คือช่วงปิดเทอมแม่ให้ผมไปพักอยู่กับญาติที่บ้านนาบอน วันที่จะกลับญาติพาผมมารอพ่ออยู่ที่สถานีรถไฟบ้านนาบอน พ่อผมซึ่งเดินทางโดยรถไฟจากสถานีบ้านจันดีจะมาลงสถานีบ้านนาบอนเพื่อรับผม และจะได้ขึ้นรถไฟอีกขบวนที่จอดรออยู่กลับหาดใหญ่ด้วยกัน ในขณะนั้นผมยังไม่เห็นขบวนรถไฟที่พ่อนั่งจะมาถึงสักที ญาติรีบส่งผมขึ้นรถไฟที่จอดรออยู่ และบอกว่าให้ผมรออยู่บนรถไฟก่อนเลยเดี๋ยวพ่อก็ตามขึ้นมาสักพักขบวน รถไฟที่จะพากลับหาดใหญ่ก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ ผมตื่นตกใจและกังวลเพราะผมไม่มีตั๋วรถไฟผมยืนลังเลอยู่ที่บันได ตรงประตูทางขึ้นลง ขณะนั้นผมสังเกตเห็นพ่อจากขบวนรถไฟอีกคันแล้ว ผมจึงตัดสินใจรีบกระโดดลงมาจากรถไฟที่เคลื่อนตัวเร็วขึ้นเร็วขึ้นจนตู้ขบวนจะเลยป้ายบอกสถานี ผมกระโดดลงมาในท่ายืนท่ามกลางเสียงกรี๊ดของคนที่อยู่ใกล้ๆ ชานชลา ผมไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่สักพักผมก็ร้องไห้เพราะมีคนเข้ามากอดผม และมารุมถามไถ่ผมเพราะเป็นห่วง จากทั้ง 2 เหตุการณ์ในวัยเด็กที่ทำให้ผมไม่ได้รับอันตรายคงเป็นเพราะผมมีทักษะจากการฝึกยืดหยุ่นนั่นเอง

ปู่ผม (อากุ๊งในภาษาฮกจิว)
มาจากอำเภอฮกจิว มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน
ปู่อพยพมาอยู่ที่บ้านจันดี อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช

วิจิตร อัจฉริยะฉาย
พ่อผมมีเชื้อสายจีน อาศัยอยู่ที่บ้านจันดี
อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อพ่อและแม่แต่งงานกันแล้ว
ก็ย้ายมาอยู่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

รัศมี อัจฉริยะฉาย
แม่ผมมีเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ที่ตำบลนาบอน
อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อย้ายมาอยู่หาดใหญ่ก็ทำงานเป็นครูสอนคณิตศาสตร์
ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
เมื่อลาออกจากอาชีพครูก็มาเป็นตัวแทนประกันชีวิต